ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีทางสายตาก้าวหน้าไปไกล การแก้ไขปัญหาการมองเห็นด้วยเลสิค จึงกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการผ่าตัด หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า “ความหนา” ของ กระจกตา ถือเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ ที่แพทย์จะใช้พิจารณาความเหมาะสมในการรักษา เพราะหากโครงสร้างไม่พร้อม อาจมีผลต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์หลังการทำเลสิคได้ในระยะยาว
โดยทั่วไป ความหนาของกระจกตา คนเราจะมีความหนาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 500–600 ไมครอน ซึ่งถือว่าเหมาะสมต่อการรับการผ่าตัดด้วยเลเซอร์หรือสามารถทำเลสิคในวิธีต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย แต่ในบางกรณี หากผู้ป่วยมีกระจกตาบางกว่าค่าเฉลี่ยมาก (คือต่ำกว่า 500 ไมครอน) หรือมีลักษณะความโค้งผิดปกติ แพทย์จะต้องประเมินความเสี่ยงให้รอบด้านก่อนพิจารณาการรักษา เพราะการฝืนทำในกรณีที่โครงสร้างดวงตาไม่พร้อม อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วย หรือการมองเห็นผิดปกติในระยะยาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้มากกว่าที่คาด
ความสำคัญของกระจกตาและการทำเลสิคที่คุณควรรู้
กระจกตา เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของดวงตา มีลักษณะโปร่งใสและโค้งมน ทำหน้าที่ทั้งปกป้องดวงตาและช่วยหักเหแสงเข้าสู่จอประสาทตา การทำเลสิคในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น LASIK, Femto LASIK หรือ ReLEx SMILE ต่างต้องอาศัยเลเซอร์เพื่อปรับรูปทรงของ กระจกตา ให้แสงหักเหไปอย่างถูกต้อง กระบวนการนี้แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ชั้นเนื้อเยื่อบางลง หากกระจกตาของผู้ป่วยบางอยู่แล้วตั้งแต่ต้น หรือมีลักษณะที่บอบบางเกินกว่าปกติ อาจทำให้เสี่ยงต่อภาวะ “กระจกตาย้วย” (Post-LASIK ectasia) หรือแม้แต่ภาวะแทรกซ้อนระยะยาวที่ต้องแก้ไขด้วยวิธีอื่นภายหลัง
กระจกตาคืออะไร และมีบทบาทอย่างไรในการมองเห็น
กระจกตา (Cornea) คือเนื้อเยื่อโปร่งใสที่อยู่ด้านหน้าสุดของลูกตา ทำหน้าที่กรองสิ่งแปลกปลอม ป้องกันอันตราย และเป็นด่านแรกในการหักเหแสงเข้าสู่ดวงตา ความโค้งและความเรียบของ กระจกตา ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของการมองเห็น หากกระจกตามีรูปทรงที่ไม่สม่ำเสมอ หรือมีลักษณะผิดปกติ เช่น รอยบุ๋มหรือความโค้งเบี้ยว จะทำให้แสงหักเหผิดพลาด และทำให้ภาพที่เห็นบิดเบี้ยวหรือพร่ามัวได้
ความหนาของกระจกตาคืออะไร และวัดอย่างไร
ความหนาของ กระจกตา (Corneal Thickness) หมายถึงความลึกของเนื้อเยื่อกระจกตาตั้งแต่ผิวด้านนอกถึงด้านใน โดยทั่วไปใช้หน่วยวัดเป็น “ไมครอน” (1 มิลลิเมตร = 1,000 ไมครอน) คนทั่วไปมักมีความหนาเฉลี่ยอยู่ที่ 500–600 ไมครอน ซึ่งเพียงพอต่อการผ่าตัดเลสิคอย่างปลอดภัย การวัดความหนานี้ทำได้โดยใช้เครื่องมือเฉพาะทาง เช่น Pachymeter ซึ่งให้ผลรวดเร็วและแม่นยำ หรือใช้เครื่อง Corneal Tomography ที่สามารถวัดทั้งความหนาและความโค้งของกระจกตาได้ในคราวเดียว โดยไม่มีการสัมผัสดวงตาโดยตรง จึงปลอดภัยและเป็นมาตรฐานก่อนการทำเลสิค
ถ้ากระจกตาบาง จะมีผลอย่างไรกับการทำเลสิค?
หากผู้ป่วยมีกระจกตาบาง การทำเลสิคจะยิ่งทำให้ชั้นเนื้อเยื่อของกระจกตาบางลงไปอีก ซึ่งเสี่ยงต่อการที่โครงสร้างของกระจกตาไม่สามารถรักษารูปร่างได้หลังผ่าตัด ส่งผลให้เกิดภาวะ “กระจกตาย้วย” ซึ่งเป็นภาวะที่กระจกตาคล้ายบอลลูนที่ป่องออก ไม่สามารถกลับสู่รูปร่างปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือค่าสายตาเอียงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในบางกรณีอาจต้องใส่คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษเพื่อช่วยให้มองเห็น หรือในกรณีที่รุนแรง อาจถึงขั้นต้องปลูกถ่ายกระจกตาใหม่ในอนาคต ซึ่งถือเป็นกระบวนการรักษาที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาฟื้นตัวมากขึ้น
แพทย์ประเมินความแข็งแรงของกระจกตาก่อนทำเลสิคอย่างไร?
ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการ การทำเลสิค แพทย์จะทำการประเมินสภาพดวงตาอย่างละเอียด โดยพิจารณาองค์ประกอบหลายด้าน ได้แก่
- การวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry)
- การตรวจรูปร่างและความโค้งของกระจกตา (Corneal Topography)
- การตรวจค่าสายตาว่าคงที่แล้วหรือไม่ (ควรคงที่อย่างน้อย 1 ปี)
- ประวัติโรคตาเดิม เช่น ต้อหิน ตาแห้งเรื้อรัง หรือกระจกตาโป่ง
- พฤติกรรม เช่น การขยี้ตาบ่อย หรือใส่คอนแทคเลนส์ต่อเนื่องหลายปี
ขั้นตอนการตรวจเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้แพทย์มั่นใจว่าโครงสร้างตาของผู้ป่วยเหมาะกับการทำเลสิคจริง ๆ และสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าทำเลสิคไม่ได้ ยังมีทางเลือกอื่นอีกไหม?
แน่นอนว่า แม้คุณจะมีสภาพความหนาของกระจกตาที่ไม่เหมาะกับการทำเลสิค แต่อย่าเพิ่งหมดหวังไป เพราะยังมีวิธีการรักษาปัญหาค่าสายตาสั้นหรือยาวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เช่น
- PRK (Photorefractive Keratectomy) เป็นการใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาโดยไม่ต้องเปิดฝา เหมาะกับคนที่มีกระจกตาบางหรือบางเฉียบ
- ICL (Implantable Collamer Lens) การใส่เลนส์เสริมเข้าไปภายในดวงตาโดยไม่กระทบกระจกตา เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาสูง หรือโครงสร้างดวงตาไม่เหมาะกับเลสิค
แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดกับโครงสร้างตาและไลฟ์สไตล์ของผู้ป่วย เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ทั้งปลอดภัยและยั่งยืน
การทำเลสิค อาจเป็นวิธีที่เปลี่ยนชีวิตให้ผู้ที่มีปัญหาการมองเห็นได้อย่างถาวร แต่ปัจจัยอย่าง “ความหนา” ของกระจกตา เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยและความยั่งยืนของผลลัพธ์ หากคุณกำลังสนใจทำเลสิค แต่ยังไม่แน่ใจว่าตนเองเหมาะสม หรือมีรูปแบบการทำเลสิคใดที่เหมาะสมสำหรับความต้องการหรือสภาวะทางสายตาของเรา ลองเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้กับหมอจตุพร (หมอเปา) เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสำหรับคุณได้เลย